เรากำลังขับเคลื่อนเข้าสู่ยุค Smart Mobility กล่าวอย่างสั้น Smart Mobility คือโซลูชันสำหรับการเคลื่อนที่/การสัญจร หมายรวมถึงการโยกย้าย (คน สินค้าและผลิตภัณฑ์) การขับเคลื่อน (ยานยนต์) อย่างชาญฉลาด ด้วยความรวดเร็วผ่านเทคโนโลยีการเชื่อมต่อที่เชื่อมโยงกันได้แบบทุกที่ทุกเวลา
แน่นอนว่ายานยนต์คือปัจจัยสำคัญของการเคลื่อนที่ การส่งเสริมยานยนต์สมัยใหม่เพื่อตอบโจทย์วิถี Smart Mobility จึงมีความสำคัญ เพราะเป็นตัวกำหนดความสำเร็จเชิงพาณิชย์ของอุตสาหกรรมรถยนต์ ดังนั้นการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อยานยนต์สมัยใหม่จึงเป็นปัจจัยสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศสู่การเป็น Thailand 4.0 การทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานรัฐบาลและภาคเอกชนจึงทำให้เกิดแรงขับเคลื่อนสำคัญ
สถาบันยานยนต์ ร่วมกับบริษัท รี้ด เทรดเด็กซ์ จำกัด จึงได้ร่วมกันจัดงานใหญ่ “Automotive Summit 2019” ภายใต้แนวคิด ”Smart Mobility Driving Tomorrow’s Society” ในงาน Manufacturing Expo ระหว่างวันที่ 19-20 มิถุนายน 2562 ที่ไบเทค บางนา

ในงานแถลงข่าว ‘ปรับทัพอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนไทย รับกระแส Smart Mobility สู่การผลิตแห่งอนาคต พร้อมเปิดตัว Automotive Summit 2019’ เมื่อวันที่ 23 พ.ค. คุณอดิศักดิ์ โรหิตะศุน – กรรมการสถาบันยานยนต์ ได้กล่าวถึงการปรับตัวเพื่อพร้อมรับ Smart Mobility ค่ายรถต่างๆ ได้มีการเตรียมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อป้อนสู่ตลาด โดยปัจจุบันมีค่ายรถที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมจาก BOI รวม 9 ราย แบ่งออกเป็น รถไฮบริด (Hybrid Electric Vehicle : HEV) 4 ราย รถปลั๊ก-อิน ไฮบริด (Plug-in Hybrid Electric Vehicle : PHEV) 4 ราย และยานยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle : BEV) 1 ราย ทั้งหมดมีกำลังการผลิตรวมประมาณปีละ 500,000 คัน ด้วยมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 54,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีค่ายรถยนต์ที่รอการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนเพื่อผลิตรถไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ หรือ BEV อีก 7 ราย และการผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่มีผู้ได้รับการส่งเสริมแล้ว 5 ราย คาดว่าจะเริ่มต้นทำการผลิตได้ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป อีกทั้งในปี 2561 ได้มีการติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าเป็นที่เรียบร้อยแล้วกว่า 400 แห่ง

สำหรับตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยนั้น ตั้งแต่ปี 2560 มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง มียอดผลิต EV ประเภทต่างๆ รวม 8,900 คัน เพิ่มเป็น 25,200 คันในปี 2561 และสำหรับปี 2562 นี้คาดว่ายอดการผลิตจะเติบโตถึง 36,000 คัน ส่วนในปี 2563 คาดว่ายอดผลิตจะมากกว่า 50,000 คัน!
ใน Thailand 4.0 รัฐบาลกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมายขึ้นมาเรียกว่า S-Curve Industry หรือ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย แบ่งออกเป็น 5 อุตสาหกรรม S-Curve แรกที่เรียกว่า First S-Curve และอีก 5 อุตสาหกรรมใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยเรียกว่า New S-Curve
First S-Curve หรือ อุตสาหกรรมเก่าที่ประเทศไทยมีศักยภาพและยังเป็นผู้นำอยู่ แต่ด้วย Digital Disruptive อาจจะทำให้เราตกกระป๋องได้อย่างทันทีทันใดหากไม่ปรับตัว
ยานยนต์สมัยใหม่ เป็นอันดับ 1 ในกลุ่ม First S-Curve 5 กลุ่มอุตสาหกรรม ในอนาคตรถไฟฟ้าหรือ EV มาแน่เพราะมันคือ Future Vehicle หากเราไม่เตรียมการไว้ก่อน อุตสาหกรรมที่จ้างคนเป็นแสนๆ คนในประเทศเราจะเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นรัฐบาลจึงพยายามผลักดันให้ EV (Electric Vehicles) เกิดขึ้นโดยเร็ว ทั้งเรื่องของ Battery Technology เพราะว่ากุญแจสำคัญก็คือเรื่องนี้
แต่ก่อนอื่นเราทำมาทำความรู้จักรถไฟฟ้ากันก่อน ว่ามีอยู่กี่ประเภท อะไรบ้าง และแต่ละประเภทแตกต่างกันอย่างไร

Electric Vehicle หรือ EV ในปัจจุบันสามารถแบ่งตามเทคโนโลยีออกเป็น 4 ประเภท:
1.ยานยนต์ไฟฟ้าแบบไฮบริด (Hybrid Electric Vehicle : HEV) เป็นยานยนต์ที่ใช้พลังงานผสมผสานระหว่างเชื้อเพลิงทั่วไป และพลังงานไฟฟ้าจากการแบตเตอรี่ ยานยนต์ประเภทนี้จะมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงต่ำกว่าแบบใช้เครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว
HEV เป็นยานยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อขับเคลื่อน และสามารถแบ่งตามฟังก์ชันการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าได้ 3 ประเภท คือ Micro Hybrid (Start & Stop, S&S), Mild Hybrid (MHEV) และ Full Hybrid (FHEV)
2.ยานยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊ก-อิน ไฮบริด (Plug-in Hybrid Electric Vehicle : PHEV) เป็นยานยนต์ไฟฟ้าที่พัฒนาต่อมาจากยานยนต์ไฟฟ้าไฮบริด ยานยนต์ประเภทนี้มีระบบน้ำมัน และไฟฟ้าเหมือนยานยนต์ไฮบริด แต่เพิ่มการเสียบปลั๊กชาร์จไฟ หรือ Plug-in ทำให้เมื่อเสียบชาร์จแล้ว สามารถวิ่งไปได้ในระยะทางที่มากกว่า ซึ่งแบตเตอรี่ที่ใช้ก็สามารถชาร์จไฟเพิ่มเพื่อกักเก็บประจุตามต้องการได้
ยานยนต์ไฟฟ้า แบบ PHEV มีการออกแบบอยู่ 2 ประเภท ได้แก่ แบบ Extended range EV (EREV) และแบบ Blended PHEV โดย แบบ EREV จะเน้นการทำงานโดยใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นหลักก่อน แต่แบบ Blended PHEV มีการทำงานผสมผสานระหว่างเครื่องยนต์และไฟฟ้า ดังนั้น ยานยนต์ไฟฟ้าแบบ EREV สามารถวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าอย่างเดียวมากกว่าแบบ Blended PHEV ความสามารถขับขี่โดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ระยะทางมากกว่ารถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด แต่เนื่องจากแบตเตอรี่มีขนาดใหญ่ทำให้มีราคาสูงกว่ายานยนต์ไฟฟ้าไฮบริด
3.ยานยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle : BEV) ขับเคลื่อนโดยใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ 100% จึงไม่มีการปล่อยมลพิษทางอากาศ แต่มีข้อเสียอยู่ที่ระยะทางการวิ่งที่จำกัด โดยขึ้นกับขนาดของแบตเตอรี่และปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ
นวัตกรรมที่ใช้เพียงพลังงานไฟฟ้าอย่างเดียว 100% ในการขับเคลื่อน และสามารถชาร์จไฟได้อย่างสม่ำเสมอเมื่อแบตเตอรี่หมด รถยนต์ไฟฟ้านี้จะมีองค์ประกอบหลักสำหรับการขับเคลื่อนคือ แบตเตอรี่ อุปกรณ์แปลงกระแสไฟฟ้า และมอเตอร์ไฟฟ้า
และเนื่องจากมีความกังวลถึง ระยะทางใช้งานของรถยนต์ไฟฟ้าต่อการประจุไฟฟ้า 1 ครั้ง ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์บางรายติดตั้งเครื่องยนต์ขนาดเล็กเพื่อเพิ่มระยะทางในการใช้งาน โดยเครื่องยนต์ดังกล่าวมีหน้าที่ปั่นไฟเพื่อประจุไฟฟ้าสู่แบตเตอรี่เพียงเท่านั้นโดยมีชื่อเรียกรถยนต์ไฟฟ้าประเภทนี้ว่า Range Extender Battery Electric Vehicle
4.ยานยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell Electric Vehicle – FCEV) เป็นยานยนต์ไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนและใช้พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell ) ซึ่งใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนในการเติมเชื้อเพลิงจากภายนอก โดยไม่มีการปล่อยมลพิษและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากรถยนต์โดยตรง มีเพียงการปลดปล่อยน้ำเท่านั้น ยานยนต์ชนิดนี้ใช้มอเตอร์เป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนเช่นเดียวกับยานยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ แต่แหล่งที่มาของพลังงานไฟฟ้านั้นต่างกัน เนื่องจาก FCEV กักเก็บพลังงานอยู่ในรูปของก๊าซไฮโดรเจน และเมื่อมีความต้องการใช้ไฟฟ้า ก๊าซไฮโดรเจนจะถูกนำไปทำปฏิกิริยากับก๊าซออกซิเจนใน อากาศที่เซลล์เชื้อเพลิง เหตุที่ไม่ก่อมลพิษทางอากาศเนื่องจากเมื่อยานยนต์ใช้พลังงานจะปล่อยน้ำออกสู่บรรยากาศเท่านั้น ที่สำคัญ FCEV ยังอยู่ในขั้นการวิจัย ยังไม่ถูก ผลิตออกมาจำหน่ายในเชิงพาณิชย์
แนวโน้มเทคโนโลยีการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในอนาคต
ข้อมูลจาก ฝ่ายวิจัยนโยบาย สวทช. ระบุว่า สถานการณ์ยานยนต์ไฟฟ้าในไทยยังถือว่าอยู่ในช่วงเริ่มต้น ในปี พ.ศ. 2559 มีการจดทะเบียนรถใหม่ทั้งรถแบบผสม (Hybrid) และรถไฟฟ้ารวมกันทุกประเภทไม่ถึง 10,000 คัน เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนการจดทะเบียนรถใหม่ทั้งหมดประมาณ 2.9 ล้านคัน ขณะเดียวกันโครงสร้างพื้นฐานสถานีอัดประจุ ทั่วประเทศยังมีจำนวนน้อยมาก แม้ว่าจะมีบริษัทผู้ผลิตรถยนต์เปิดสายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบผสมเสียบปลั๊ก (PHEV) ขึ้นแล้วในไทย แต่ยังมุ่งเน้นตลาดต่างประเทศเป็นหลัก ขณะที่ผู้ผลิตอีกหลายรายให้ความสนใจ ลงทุนและอยู่ในช่วงศึกษาความพร้อมด้านต่างๆ และเทคโนโลยีที่เหมาะสมต่อตลาดในประเทศ
อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้ประกอบการที่สำคัญที่จะได้รับผลกระทบสูงจากการเปลี่ยนแปลงสู่ยานยนต์ไฟฟ้า คือ ผู้ผลิตชิ้นส่วน เนื่องจากเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าจำเป็นต้องอาศัยชิ้นส่วนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีความซับซ้อนและใช้เทคโนโลยีขั้นสูงกว่าชิ้นส่วนเครื่องยนต์สันดาปภายในที่ไทยมีความชำนาญและดำเนินการผลิตอยู่ในปัจจุบัน
การใช้จำนวนชิ้นส่วนประกอบของยานยนต์ไฟฟ้ามีประมาณ 5,000 ชิ้นต่อคัน ขณะที่ยานยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในที่ต้องใช้มากถึง 30,000 ชิ้น โดยเฉพาะกลุ่มระบบส่งกำลังหรือเครื่องยนต์ เช่น หม้อน้ำ ท่อไอเสีย ระบบหัวฉีด ถังน้ำมัน อาจจะได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก ดังนั้น ความชัดเจนของนโยบายการส่งเสริมภาครัฐจึงมีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่กำลังจะเกิดขึ้น
นายสุทธิศักดิ์ วิลานันท์ รองกรรมการผู้จัดการบริษัท รี้ด เทรดเด็กซ์ จำกัด กล่าวถึงแนวโน้มเทคโนโลยีการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ กว่า 90% เป็นการผลิตชิ้นส่วนแบบเครื่องยนต์แบบสันดาปซึ่งปัจจุบันกำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนถ่ายไปสู่ยานยนต์ไฮบริดและยานยนต์สมัยใหม่ตามลำดับ ค่ายรถยนต์ต่างๆ พร้อมจะปรับเปลี่ยนโมเดลรถยนต์ไปตามแนวโน้มนี้ ผู้ประกอบการไทยมีการปรับตัวทางด้านเครื่องจักรและเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการผลิตและดีมานด์ที่จะเกิดขึ้นจากข้อมูลการนำเข้าเครื่องจักรและชิ้นส่วนในไตรมาศแรกในปี 2561 มูลค่ากว่า174,000 ล้านบาทเปรียบเทียบกับปี 2562 มีมูลค่า 182,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นกว่า 5%
พัฒนาการที่สำคัญอีกประการที่แสดงถึงความพร้อมในการรับมือของเราก็คือ มาตรฐานตู้ชาร์จและมาตรฐานแบตเตอรี่ ที่อยู่ในระหว่างการจัดทำ และที่อยู่ในระหว่างการพิจารณากำหนดมาตรฐานอื่นๆ เพื่อให้ครอบคลุมยานยนต์สมัยใหม่ หนึ่งในสิ่งที่จัดทำอยู่ก็คือ การสร้างศูนย์ทดสอบแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าแห่งแรกของอาเซียน ซึ่งมีการทดสอบสมรรถนะของแบตเตอรี่ ทดสอบความปลอดภัย และมีห้องนิรภัยที่สามารถรองรับการลุกไหม้ หรือการระเบิดของแบตเตอรี่จากการทดสอบได้อีกด้วย คาดว่าศูนย์ทดสอบนี้จะเปิดให้บริการในปี 2563
Automotive Summit 2019 จัดในวันที่ 19-20 มิถุนายน ณ ศูนย์ประชุมไบเทคสามารถลงทะเบียนล่วงหน้าเพื่อความสะดวกรวดเร็วได้ที่ www.manufacturing-expo.com โดยงานจัดร่วมกับ Manufacturing Expo 2019 ระหว่างวันที่ 19-22 มิถุนายน ลงทะเบียนครั้งเดียวสามารถชมงานได้ทุกวันทุกโซน
อ้างอิง: http://www.thaiauto.or.th/
About The Author
You may also like
-
Renishaw เปิดตัว ‘NC4+ Blue’ ตรวจจับความเสียหายเครื่องมือ เพื่อยกระดับการผลิต
-
จ่ายน้ำมันหล่อเย็นอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเครื่องมือกัดที่ออกแบบและผลิตแบบเติมวัสดุ
-
Bofa Americas เปิดตัวเทคโนโลยีการกรองอากาศจากการพิมพ์ 3 มิติในงาน Formnext Forum 2023
-
สั่งซื้อเครื่องมือได้ง่ายและรวดเร็ว ด้วยตัวเลือกเครื่องมือออนไลน์จาก Inovatools
-
หัวจับเครื่องมือแบบโมดูลาร์แตกต่างจากหัวจับแบบทั่วไปอย่างไร?