อุตสาหกรรมยานยนต์เยอรมัน

German Study | ซัพพลายยานยนต์ขนาดกลางเสี่ยง EV บูมมาแรงกว่าที่คิด

ผู้ประกอบการขนาดกลางในเยอรมนีตกอยู่ในกลุ่มเสี่ยงตกหลุมอากาศเมื่ออุตสาหกรรมยานยนต์กำลังผันตัวเองเข้าสู่ชุมชนการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัว ซัพพลายเชนเครื่องยนต์เผาไหม้แบบเดิมต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตซึ่งหมายถึงเงินลงทุนก้อนโต ไปติดตามกันว่าพวกเขาจะหาทางออกในเรื่องนี้อย่างไร เพราะอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยเองก็ต้องรับมือกับ e-mobility อย่างแน่นอนโดยไม่อาจหลีกเลี่ยง

German Study_อุตสาหกรรมยานยนต์
Despite the significant overall decline in insolvency figures, the auto industry and the closely networked metals sector in particular saw an accumulation of major bankruptcies in the first nine months of 2020. (Source: gemeinfrei / Pixabay )

แม้จะมีชัยชนะของรถยนต์ไฟฟ้ารออยู่ แต่หนทางก็ยังอีกยาวไกลนักในการกลับมาสู่ความสำเร็จเช่นที่เคยเป็นสำหรับภาคยานยนต์ของเยอรมัน แม้ทิศทางและแนวโน้มในภาคนี้ยังคงเป็นไปด้วยดี แต่ก็ไม่ได้ชดเชยการสูญเสียในภาคส่วนอื่น ๆ จากการศึกษาของ Euler Hermes บริษัทประกันเครดิตจากปารีส ฝรั่งเศสพบว่า ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์และซัพพลายเออร์ยานยนต์นั้นมีความเสี่ยงเป็นพิเศษในสถานการณ์นี้

“มีทั้งแสงสว่างและเงามือในอุตสาหกรรมยานยนต์ของเยอรมัน” Ron van het Hof ซีอีโอของ Euler Hermes ในเยอรมนีออสเตรียและสวิตเซอร์แลนด์กล่าว “รถยนต์ไฟฟ้าได้เติบโตอย่างแท้จริงและมีส่วนแบ่งตลาดสูงเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมา เนื่องจากแรงจูงใจในการซื้อ อย่างไรก็ตาม การเติบโตนี้ก็ยังไม่เพียงพอที่จะชดเชยการตกต่ำในภาคอื่น ๆ นอกจากนี้ก็ยังมีจีนเป็นความหวังของตลาด สำหรับซัพพลายเออร์ยานยนต์และตัวแทนจำหน่ายรถยนต์แม้สิ่งต่าง ๆ จะยังดูเลือนลางอยู่ก็ตาม”



การล้มละลายครั้งสำคัญ 10 กรณีในอุตสาหกรรมยานยนต์ในช่วง 9 เดือนแรก

“ในช่วง 9 เดือนแรกของปีเรานับผู้ป่วยมากกว่าสองเท่าในอุตสาหกรรมยานยนต์โดยมีการล้มละลายครั้งใหญ่ 10 คดีเมื่อเทียบกับการล้มละลายครั้งใหญ่ 4 ครั้งในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว” Van het Hof กล่าว “นอกจากนี้ยังมีในอุตสาหกรรมโลหะมากขึ้นถึง 3 เท่าในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมีการล้มละลายที่สำคัญ 9 รายการ ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ภาคส่วนนี้กำลังเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญก่อนที่ COVID-19 จะระบาด ในบางพื้นที่สถานการณ์ตอนนี้แย่ลงอย่างมาก – แต่ในทุกที่ก็มีทั้งผู้ชนะและผู้แพ้”

ในกลุ่มกิจการเครื่องยนต์ที่เป็นซัพพลายเออร์ให้กับยานยนต์กำลังกระฉับกระเฉงอย่างเห็นได้ชัดในขณะนี้ โดยรวมแล้ว บริษัทซัพพลายเออร์มากกว่า 1,000 แห่งที่มียอดขายสะสมที่ 1.9 หมื่นล้านยูโรและพนักงาน 300,000 คนมีหน้าที่รับผิดชอบ 75% ของมูลค่าเพิ่มในภาคยานยนต์


18% ของ บริษัทซัพพลายเออร์ขนาดกลางในเยอรมนีตกอยู่ในความเสี่ยง

“ปัจจุบันบริษัทซัพพลายเออร์ขนาดเล็กและขนาดกลางในเยอรมนีประมาณ 18% ตกอยู่ในความเสี่ยง” Van het Hof กล่าว “ซึ่งนั่นเป็นสัดส่วนที่มากกว่าผู้ผลิตยานยนต์ (ประมาณ 12%) อย่างมีนัยสำคัญ หรือมากกว่าในอุตสาหกรรมอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกันยังหมายความว่า อีก 82% ของบริษัททั้งหมดอยู่ในตำแหน่งที่ค่อนข้างดี ซึ่งนั่นนับเป็นข่าวดีสำหรับวิกฤตในปัจจุบัน”

ซัพพลายเออร์ระดับ 2 และระดับ 3 – โดยเฉพาะรายที่ไม่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า (electromobility) – รวมถึงบริษัทขนาดเล็กกว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางภาคใต้ของเยอรมนี

Maxime Lemerle ผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนต์และหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ความเสี่ยงในอุตสาหกรรมของ Euler Hermes Group กล่าวว่า “(ธุรกิจของ) พวกเขายังคงพึ่งพาระบบส่งกำลังแบบเดิมอยู่มาก แถมยังไม่มีทรัพยากรทางการเงินเพียงพอที่จะจัดการกับการปรับเปลี่ยนทิศทางของผลิตภัณฑ์ซึ่งต้องเข้าแข่งขันในโลกใหม่ของยานยนต์ไฟฟ้า”

“โดยเฉลี่ยแล้วซัพพลายเออร์ระดับที่ 1 มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนจากระบบเผาไหม้แบบเดิมไปเป็นระบบส่งกำลังไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม เราคาดว่าจะได้รับแรงกดดันจากผู้ผลิตรถยนต์เอง รวมถึงความปรารถนาที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในตลาดโลก ในส่วนของผู้ผลิตยนต์เองก็ยังไม่แข็งแกร่ง บริษัทเหล่านี้จะตกอยู่ในความเสี่ยงทันทีหากยานยนต์ในเอเชียหันไปใช้แบตเตอรี่เพิ่มขึ้น ยิ่งกว่านั้นบริษัททั่วไปก็ยังไม่สามารถปรับโมเดลธุรกิจให้เข้ากับเทรนด์ใหม่ได้”

 


มาร์จินต่ำ แข่งขันสูง ยานยนต์ดีเซลคงคลังสูง

นอกจากซัพพลายเออร์แล้ว จากการสำรวจยังพบว่า ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์มีความเสี่ยงสูงเป็นพิเศษ แม้ในช่วงก่อนเกิดวิกฤต จากมาร์จินที่อยู่ในระดับต่ำมากเพียงแค่ 0 ถึง 1% เท่านั้น จากการหยุดงานของตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ โชว์รูม งานแสดงสินค้ายานยนต์ สำนักงานทะเบียนและโรงงาน ทำให้สถานการณ์ยิ่งมีความเสี่ยงมากขึ้น และแม้หลังจากสิ้นสุดการล็อคดาวน์ครั้งแรก ยอดขายก็กลับดีขึ้นเพียงบางส่วนเมื่อเทียบกับก่อนเกิดวิกฤต

“ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ยังคงประสบปัญหาจาดรถยนต์ดีเซลที่ยังมีสินค้าคงเหลืออยู่ในระดับสูง และยังต้องแข่งขันกับผู้ผลิตรถยนต์ที่มีแนวคิดเรื่องการตลาดออนไลน์ใหม่ ๆ ด้วย” Lemerle กล่าว “พวกเขาแทบจะไม่เหลือ “พื้นที่หายใจ” เลยในบางกรณี เนื่องจากอัตราผลกำไรโดยรวมที่ต่ำและการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น”


ตลาด: ไม่หวนกลับสู่ระดับก่อนวิกฤต แม้จะมีชัยชนะของ E-Vehicles

ตลาดเยอรมันซึ่งใหญ่ที่สุดในยุโรป คาดว่าเมื่อสิ้นสุดปี 2020 ที่ผ่านมา การจดทะเบียนใหม่ของรถยนต์นั่งและรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ลดลง -22% อยู่ที่ 3.1 ล้านคันต่อปี ลดลงจาก 4.0 ล้านคันในปี 2019 ทั้งนี้ การซื้อรถยนต์เริ่มมีความสำคัญน้อยลงสำหรับชาวเยอรมันส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อแนวโน้มการจ้างงานและค่าจ้างมีความไม่แน่นอน หรือยังคงไม่เอื้ออำนวย แม้ว่าผู้บริโภคจะต้องการการขับเคลื่อนที่ “เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” เพิ่มมากขึ้นซึ่งจะสนับสนุนการเพิ่มขึ้นของยานพาหนะอิเล็กทรอนิกส์ก็ตาม หลังมีส่วนแบ่งการตลาดสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 15.6% ในเดือนกันยายน การฟื้นตัวของตลาดเยอรมันที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2021  (+14% เมื่อเทียบแบบปีต่อปี) สามารถชดเชยการชะลอตัวในปี 2020 ได้เพียงบางส่วนเท่านั้นและจะเป็นไปเพียงช่วงสั้น ๆ โดยมีการคาดการณ์ว่า ตลาดไม่น่าจะกลับสู่ระดับก่อนวิกฤตได้และจะยังคงมียอดต่ำกว่า 3.6 ล้านคันต่อปีในปีต่อ ๆ ไป


ตลาดจีนคือ Bright Spot สำหรับผู้ผลิตรถยนต์ที่ฟื้นตัว

นอกเหนือจากตลาดในประเทศแล้ว การพัฒนาตลาดส่งออกยังมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ผลิตยานยนต์และซัพพลายเออร์ ทั้งนี้ ส่วนแบ่งการส่งออกของอุตสาหกรรมยานยนต์ของเยอรมนีอยู่ที่ 64.5% ระหว่างปี 2015 ถึง 2019

“ในยุโรปและสหรัฐอเมริกา เราคาดว่าจะมีการแข่งขัน (ราคา) ที่ดุเดือดอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากคาดว่าทั้งสองตลาดนี้จะยังมียอดขายหดตัวในปีล่าสุด และไม่ถึงระดับก่อนวิกฤต แม้จะมีการเติบโตที่คาดไว้ในปีหน้าก็ตาม” Lemerle กล่าว

“จากภาพรวมที่ดีขึ้นในจีน เหตุผลข้อหนึ่งก็คือ กฎข้อบังคับเรื่องการขับเคลื่อน (mobility restriction) ได้ถูกยกเลิกไปก่อนหน้านี้ และอีกข้อหนึ่งคือ มีผู้ซื้อครั้งแรก (first-time buyer) จำนวนมากที่เปลี่ยนจากระบบขนส่งสาธารณะ หรือ shared mobility ไปเป็นเจ้าของรถในช่วงที่เกิดการระบาดของไวรัสโคโรนา”

ตลาดยานยนต์จีนฟื้นตัวติดต่อกัน 8 เดือนตั้งแต่เดือนเมษายนถึงพฤศจิกายน 2020 และคาดว่าสิ้นปีจะลดลง -2% ก่อนที่จะเพิ่มขึ้น +12% เป็น 28.3 ล้านคันในปี 2021

“ผู้ผลิตรถยนต์เยอรมันอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่จะได้รับประโยชน์จากแนวโน้มการฟื้นตัวนี้” Lemerle กล่าว “เนื่องจากมีการเล่นในกลุ่มพรีเมียมเช่นกัน และผู้ผลิตในเยอรมันส่วนใหญ่มีส่วนแบ่งการขายในจีนค่อนข้างสูง ซึ่งนับเป็นจุดที่สว่างสดใสอย่างแท้จริงสำหรับอุตสาหกรรม”


การบริหารสภาพคล่องที่เข้มงวดขึ้นและจำเป็นต้องลงทุนสูง

อย่างไรก็ตามโควิด -19 ได้ทิ้งร่องรอยถลอกปอกเปิกไว้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ไม่น้อย เก้าเดือนแรกของปีมียอดขายและอัตราผลกำไรตกต่ำอย่างมาก แม้จะมีการฟื้นคืนในช่วง Q3: ผู้ผลิต OEM สูญเสียยอดขายประมาณ 18% ซัพพลายเออร์ -20% อุตสาหกรรมยางรถยนต์ -18% และแม้แต่การเช่ารถก็ลดลง -43 %. นอกจากนี้ยังส่งผลเชิงลบต่อผลกำไรจากการดำเนินงาน (operating profit) ในทุกแผนก: EBITDA ลดลงประมาณหนึ่งในสามที่ OEMs (-34%) โดยครึ่งหนึ่งอยู่ที่ซัพพลายเออร์ (-50%), -29% ในอุตสาหกรรมยางล้อและมากที่สุดที่ -87 % ในอุตสาหกรรมรถเช่า

บริษัทต่าง ๆ กำลังใช้วิธีการต่าง ๆ นา ๆ เช่น การลดปริมาณสินค้าคงคลังซึ่งจะส่งผลดีในระยะสั้น รวมถึงการเปิดตัวยานยนต์รุ่นใหม่ให้เร็วขึ้นหลังจากการผลิตกลับมา อย่างไรก็ตาม การขายรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษต่ำได้ส่งผลให้อัตรากำไรลดลงเมื่อเทียบกับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน

ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้บีบบังคับให้บริษัทต่าง ๆ ต้องลดขนาดและลดตำแหน่งงาน ปรับพอร์ตการลงทุนและกำลังการผลิตทั้งในผลิตภัณฑ์และแบรนด์ รวมถึงในตลาดการขายVan het Hof กล่าวสิ่งที่เพิ่มเข้ามาก็คือ การปรับแผนการลงทุนของพวกเขาคือการสร้างความสมดุล โดยมีเป้าหมายคือ เพื่อปกป้องสภาพคล่องและหยุดพักการใช้จ่าย และในทางกลับกันก็เพื่อเริ่มต้นสิ่งใหม่ที่เป็นผลดีต่อกิจการ ด้วยการลงทุนที่ตรงเป้าหมายและก้าวย่างสู่ความสำเร็จ (ในตลาด EV) บนถนนที่เชื่องช้าและเป็นหลุมเป็นบ่อ


อ้างอิง: https://www.etmm-online.com/18-of-medium-sized-automotive-suppliers-at-risk-a-994663/

บทความที่เกี่ยวข้อง: 

การตัดสินใจใช้ EVs ขึ้นอยู่กับความเข้าใจของผู้บริโภคและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

อนาคตของพลังงาน – เทคโนโลยีการเก็บสะสมพลังงานและแบตเตอรี่ ไปถึงไหนกันแล้ว?

อินเดีย: อรุณรุ่งของยานยนต์ไฟฟ้า (EV)

About The Author