Green Steel

Green Steel: การผลิตเครื่องมือและแม่พิมพ์จะเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นได้อย่างไร?

การเลือกซัพพลายเออร์ในการผลิตเครื่องมือเหล็กกล้านั้นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ผลิตเครื่องมือ ผู้ใช้เครื่องมือ และลูกค้า การเลือกเกรดเหล็กที่ดีและถูกต้องไม่เพียงสำคัญสำหรับเครื่องมือและแม่พิมพ์เฉพาะเท่านั้น แต่ต่อไปนี้สิ่งสำคัญอีกประการที่ต้องคำนึงถึงหนักๆ ก็คือเรื่องของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สำหรับผลิตภัณฑ์เหล็กกล้า (ซึ่งเป็นกฎหมายบังคับใช้) รวมไปถึงห่วงโซ่อุปทานของลูกค้าด้วยเช่นกัน

 

(Source: Public Domain / Pixabay )

อุตสาหกรรมเหล็กกล้าของยุโรปมีโรงงานผลิตมากกว่า 500 แห่งที่ดำเนินงานใน 23 ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป จากการรายงานของคณะกรรมาธิการยุโรป (The European Commission) กล่าวว่า สหภาพยุโรปเป็นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ปริมาณการผลิตอยู่ที่ 150 ล้านตัน รองจากประเทศจีน ซึ่งการผลิตในปัจจุบันคิดเป็นสัดส่วน 53% ของการผลิตทั่วโลกหรือ (1  พันล้านตัน) ปริมาณการผลิตจำนวนมากนี้ยังส่งผลต่อการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เช่นกัน โดยอุตสาหกรรมเหล็กกล้าของสหภาพยุโรปได้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 26% ตั้งแต่ปี 1990 จากการพัฒนาประสิทธิภาพพลังงานและอัตราการรีไซเคิลที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม เป้าหมายในการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Climate neutrality) ภายในปี 2050 จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการผลิตเหล็กอย่างสิ้นเชิง แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้สำคัญสำหรับผู้ผลิตเครื่องมือและแม่พิมพ์ที่ต้องการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เป็นกลางทางคาร์บอน (CO2-neutral products) ให้กับลูกค้า 

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ของสหภาพยุโรป อุตสาหกรรมเหล็กกล้าต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 30% ภายในปี 2030 ซึ่งมันหมายถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สู่เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสภาพอากาศ จากงานวิจัยของ Roland Berger เรื่อง “Green deal for steel. What will it take and who will pay?” เนื้อหาเกี่ยวกับการเลือกใช้เทคโนโลยีและงบค่าใช้จ่ายที่จะประสบผลสำเร็จในการลดก๊าซคาร์บอนตามที่วางไว้ 

จากการคำนวณของ Roland Berger เพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านสภาพอากาศที่ดีขึ้นภายในปี 2030 อุตสาหกรรมจะต้องปรับเปลี่ยนผลิตประมาณหนึ่งในสามของผลผลิตเหล็กขั้นต้นทั้งหมดในปัจจุบัน หรือ 29  ล้านเมตริกตัน โดยมาใช้อุปกรณ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมายิ่งขึ้น เช่น เตาหลอมที่ใช้ถ่านหินเเปลี่ยนเป็นเชื้อเพลิง และเทคโนโลยีที่ใช้ไฮโดรเจนและก๊าซธรรมชาติในระยะเปลี่ยนผ่านมีศักยภาพสูงสุด ตัวอย่างเช่น จากการวิเคราะห์ หากมีการใช้เทคโนโลยีที่สามารถลดปริมาณไฮโดรเจนได้โดยตรงในห่วงโซ่การผลิต ซึ่งจะส่งผลให้มีต้นทุนเพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมการผลิต เป็นจำนวนเงินรวม  17  พันล้านในปี 2030 ในจำนวนนี้ € 3.5  พันล้านจะเป็นผลมาจากเทคโนโลยีใหม่นั่นเอง ได้แก่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและค่าเสื่อมราคาอุปกรณ์ และจำนวนเงินที่เหลืออีก 13.5  พันล้านยูโรจากต้นทุนการปล่อย CO2 ที่สูงมาก สำหรับเหล็กกล้าที่เหลืออีก 66  ล้านเมตริกตันซึ่งผลิตโดยวิธีการทั่วไป 



Tata Steel: “การเปลี่ยนสู่เทคโนโลยีการผลิตเหล็กกล้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้ก่อนปี 2030” 

จากงานวิจัย Tata Steel กล่าวว่า “ความพยายามในการผลิตเหล็กกล้าโดยใช้ไฮโดรเจนนั้นเป็นไปได้ภายในปี 2030” หลังจากขั้นตอนแรกซึ่งเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนไปใช้ก๊าซ ก็สามารถทำขั้นตอนเป็นไฮโดรเจนได้ สิ่งที่สำคัญคือทุกภาคส่วนต้องให้ความร่วมมือ การวิจัยของ Roland Berger แสดงให้เห็นว่าเป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยี Direct Reduced Iron (DRI) ก่อนปี 2030 เทคโนโลยีนี้ใช้ในการผลิตเหล็กกล้าจากก๊าซธรรมชาติหรือไฮโดรเจนร่วมกับเตาไฟฟ้า การตั้งค่าการติดตั้ง DRI จะทำให้กระบวนการหลอมเหล็กโดยใช้เตาหลอมเหล็กหลอมร่วมกับโรงผลิตก๊าซโค้ก (Coke gas) จะยุติลง เมื่อการติดตั้งใหม่เริ่มดำเนินการการผลิต ส่งผลให้โรงงานหลายแห่งบนไซต์อาจปิดตัวลง ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยมลพิษอื่นๆ ได้อีกเช่นกัน 

สัปดาห์ที่อากาศบริสุทธิ์ในโรงงานที่ Uddeholm 

ความพยายามในการพัฒนาการผลิต Green Steel เกิดขึ้นจากทั่วทุกที่ โดยผู้ผลิตหลักทั้งหมด เฉพาะในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2564 โรงงาน Uddeholm (ส่วนหนึ่งของ Voestalpine) เริ่ม “Climate neutral week” ผู้ผลิตเครื่องมือเหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์เหล็กอื่นๆ ดำเนินการทดลองผลิตเครื่องมือเหล็กกล้าที่เป็นกลางต่อสภาพอากาศเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เพื่อแสดงให้เห็นว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นและเป็นไปได้ ในช่วงสัปดาห์ที่เป็นกลางของสภาพภูมิอากาศ LNG (ก๊าซธรรมชาติเหลว) ถูกแทนที่ด้วย LBG ที่ปราศจากฟอสซิล (ก๊าซชีวภาพเหลว) นอกจากนี้ การคมนาคมภายในทั้งหมดจะเปลี่ยนมาใช้ไฟฟ้าที่ปราศจากฟอสซิล หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 100 ของ HVO100 มาตรการเหล่านี้นำไปสู่การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 90% ส่วนที่เหลืออีก 10% ประกอบด้วยคาร์บอนในเศษโลหะและอิเล็กโทรดกราไฟท์ ณ วันนี้ ยังไม่มีการทดแทนใดที่มาแทนพลังงานจากฟอสซิลได้ บริษัทอธิบายให้เห็นว่า ผู้ผลิตเหล็กกล้าสามารถชดเชยอีก 10% ที่เหลือดเหล่านี้ด้วยใบรับรอง Gold Standard ตามเป้าหมายความยั่งยืนของสหประชาชาติ  

Herbert Eibensteiner ประธานคณะกรรมการบริหารของ Voestalpine กล่าวว่า “เราได้พัฒนาแผนเป็นระยะที่มีเป้าหมายสำหรับการแยกส่วนการผลิตเหล็กออกในรูปของเหล็ก Greentec และสิ่งนี้จะช่วยให้เรามีส่วนร่วมในการบรรลุเป้าหมายด้านสภาพอากาศ” แบรนด์แคมเปญเหล็กของ Greentec ได้รับการออกแบบให้เป็นสื่อกลางในการสื่อสารกลยุทธ์การลดคาร์บอนไดออกไซด์ที่ครอบคลุมเพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านสภาพอากาศของสหภาพยุโรป 

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริษัทต่างๆ กำลังวางแผนที่จะค่อยๆ เปลี่ยนจากเตาหลอมที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงเป็นการผลิตเหล็กโดยใช้ไฟฟ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากเศษเหล็ก เหล็กดิบเหลว (liquid pig iron) และเหล็กพรุน (HBI) ที่ผลิตในโรงงานรีดิวซ์โดยตรง ยังเป็นวัตถุดิบที่สำคัญที่สุดในกระบวนการนี้ การลดโดยตรงเป็นเทคโนโลยีการเชื่อมโยงที่สำคัญสำหรับการผลิตเหล็กแยกคาร์บอน ซึ่งจะลดแร่เหล็กเป็นเหล็กด้วยก๊าซธรรมชาติ แทนที่จะใช้ถ่านหินและโค้ก ส่งผลให้มีการปล่อย CO2 น้อยลง การใช้เทคโนโลยีไฮบริดนี้จะช่วยให้ CO2 ที่ปล่อยออกมาระหว่างการผลิตเหล็กที่ Linz และ Donawitz ลดลงอย่างมีนัยสำคัญประมาณ 30% นอกจากนี้ยังเป็นข้อกำหนดเบื้องต้นเพื่อให้บรรลุการเปลี่ยนแปลงตามไฮโดรเจนภายในปี 2593 

โครงการระหว่างประเทศและความร่วมมือสำหรับ Green Steel 

บริษัทต่างๆมีการร่วมโครงการด้วยกัน เช่น H2 Syngas Saarstahl และ Dillinger ได้เข้าร่วมโครงการนี้กับ Paul Wurth บริษัทวิศวกรรมของ Luxembourg ที่อยู่ในกลุ่ม SMS เพื่อใช้ก๊าซในกระบวนการของตนเองและไฮโดรเจนในปริมาณมากในกระบวนการเตาหลอม ด้วยเทคโนโลยีนี้ บริษัทเหล็กต่างๆ ได้ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนลงอีกขั้น และดำเนินการขั้นตอนสำคัญถัดไปสู่การผลิตเหล็กที่ปราศจากคาร์บอน H2 Syngas เป็นส่วนหนึ่งของโครงการไฮโดรเจนข้ามพรมแดนในภูมิภาคซาร์  

ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งที่ร่วมในโครงการ H2 Syngas บริษัทเหล็กต้องการที่จะทำงานร่วมกับ Paul Wurth ต่อไปเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการใช้ก๊าซในกระบวนการของตัวเองสำหรับเตาหลอมของ Rogesa Roheisengesellschaft Saar ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ Dillinger และ Saarstahl กระบวนการปฏิรูปแบบแห้งที่เรียกว่ากระบวนการใหม่ที่พัฒนาโดย Paul Wurth ช่วยให้ก๊าซที่ผลิตในเตาเผาถ่านโค้กถูกแปลงเป็นก๊าซลดความร้อนหรือ “ซินกัส” ก๊าซนี้อุดมด้วยไฮโดรเจนและใช้เป็นสารรีดิวซ์สำหรับการลดแร่เหล็ก การฉีดก๊าซลดความร้อนเข้าไปในเตาบลาสต์เฟอร์เนซ ทำให้การใช้โค้กลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และทำให้การปล่อยคาร์บอนลดลงเช่นกัน Dr. Karl-Ulrich Köhler ประธานคณะกรรมการบริหารของ Dillinger และ Saarstahl กล่าวว่า “การใช้ก๊าซในกระบวนการเพื่อจุดประสงค์ทางโลหะวิทยาทำให้สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึงสิบสองเปอร์เซ็นต์ “ด้วยการใช้ไฮโดรเจน เราสามารถปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นได้ และเพิ่มศักยภาพในการลดคาร์บอนได้เกือบสองเท่า การสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานที่เพียงพอเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นสำหรับเรื่องนี้” 

อีกตัวอย่างหนึ่งคือความร่วมมือระหว่างผู้ผลิตเหล็กสัญชาติเยอรมัน GMH Gruppe (ซึ่งมีฐานอยู่ใน Georgsmarienhütte), บริษัทการค้าโลหะ Heine + Beisswenger Stiftung และผู้ผลิตเครื่องมือ Sandvik Coromant นับเป็นความร่วมมือครั้งแรกในระบบเศรษฐกิจเหล็กของเยอรมนีที่บริษัทขนาดกลางร่วมมือกันโดยมีเป้าหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของผลิตภัณฑ์ สำหรับห่วงโซ่คุณค่าของการเป็นหุ้นส่วน GMH Gruppe จะสนับสนุนแท่งเหล็กที่ปราศจากคาร์บอนไดออกไซด์ (เพื่อผลิตด้วยพลังงานสีเขียว 100% ในอนาคต) และการขนส่งวัสดุโดยรถบรรทุกที่ใช้ก๊าซแอลพีจี ขณะที่บริษัทการค้า Heine + Beisswenger จะใช้พลังงานหมุนเวียน และการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแก่ลูกค้า ในส่วนของ Sandvik Coromant ผู้ผลิตเครื่องมือจะให้บริการการตัดเฉือนขั้นสุดท้ายภายใต้แนวคิด Green Factory แนวทางนี้จะพัฒนาความสมดุล CO2 ของผลิตภัณฑ์ที่ให้มาอย่างมาก ในเดือนธันวาคม H+B ได้ขนส่งสินค้าเหล็กชุดแรกด้วย Mercedes-Benz eActros จาก Daimler Truck เป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

พันธมิตรในข้อตกลงวางแผนที่จะมีการตรวจสอบสมดุล CO2 และรับรองโดยหน่วยงานภายนอก ด้วยการบัญชีการประหยัด CO2 (Accounting the savings of CO2) และการยกเว้นใบรับรองการชดเชย CO2 อย่างชัดแจ้ง ทั้งสามบริษัทกำลังสร้างพื้นฐานสำหรับการจัดประเภทผลิตภัณฑ์ Green Steel ในอนาคต โครงการเตรียมความพร้อมสำหรับการดำเนินการทันทีเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นของอุตสาหกรรมการผลิตและการค้าเหล็กของเยอรมัน

 Schaeffler ลงนามในข้อตกลง off-take กับ H2 greensteel เพื่อซัพพลาย Green Steel 

การแข่งขันสำหรับการจัดหา Green Steel ที่หายากยังคงดำเนินต่อไป: สำหรับการซัพพลาย Green Steel โดยซัพพลายเออร์ด้านยานยนต์และอุตสาหกรรม Schaeffler ได้ลงนามในข้อตกลงกับบริษัท H2 greensteel ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพสัญชาติสวีเดน บริษัทต้องการซื้อเหล็กปลอดคาร์บอนไดออกไซด์จำนวน 100,000 ตัน ซึ่งผลิตโดยใช้ไฮโดรเจนเป็นประจำทุกปีโดยมีผลตั้งแต่ปี 2568 ซึ่งทำให้ Schaeffler เป็นซัพพลายเออร์ระดับ 1 รายแรกในโลกที่ได้เป็นลูกค้าของบริษัทสตาร์ทอัพที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ข้อตกลงนี้กำหนดขึ้นในระยะยาวและรวมถึงการส่งมอบเหล็กเส้น  

เหล็กที่ผลิตในสวีเดนต้องใช้เชื้อเพลิงที่ไม่ใช่ฟอสซิลและลดการปล่อย CO2 ประจำปีของ Schaeffler c. p. มากถึง 200,000 ตัน “การจัดซื้อเหล็กมีความสำคัญเชิงกลยุทธ์สำหรับ Schaeffler” Andreas Schick ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ Schaeffler กล่าวว่า “เราแปรรูปเหล็กกล้าจำนวนมาก และมองว่าสิ่งนี้เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญที่จะสนับสนุนในการลดคาร์บอน ในปัจจุบันนี้ Schaeffler พึ่งพากระบวนการผลิตเหล็กที่มีคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำมากขึ้นในหมู่ซัพพลายเออร์ องค์ประกอบที่สำคัญคือการใช้เศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งเราต้องการดำเนินการอย่างสม่ำเสมอ” 

By 2050 Thyssenkrupp Steel will gradually convert steel production in Duisburg to direct reduction with hydrogen.(Source: Thyssenkrupp)

การใช้ Green Hydrogen และไฟฟ้าหมุนเวียน 

ในฐานะหนึ่งในผู้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมนี ธุรกิจเหล็กกล้าของ Thyssenkrupp สามารถสร้างความแตกต่างอย่างมากในแง่ของการป้องกันสภาพอากาศ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้น “ไฮโดรเจนเป็นกุญแจสำคัญในการเปลี่ยนแปลงที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอุตสาหกรรมเหล็ก” Dr. Arnd Köfler สมาชิกคณะกรรมการบริหารฝ่ายการผลิตที่ Thyssenkrupp Steel กล่าวว่า ด้วยการใช้ไฮโดรเจนที่เป็นกลางต่อสภาพอากาศ บริษัทสามารถลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์  ได้ 20 ล้านตันต่อปีในเหล็กกล้าในระยะยาว 

ผู้เชี่ยวชาญด้านเหล็กและไฮโดรเจนของ Thyssenkrupp ได้ร่วมมือกับ Steag บริษัทพลังงานใน Essen ร่วมมือในการวิจัยความเป็นไปได้ในการจัดหาไฮโดรเจนสีเขียวหรือพลังงานสะอาด ให้กับโรงถลุงเหล็กใน Duisburg โดยการสร้างโรงงานอิเล็กโทรลิซิสในน้ำที่ไซต์ Steag ใน Duisburg-Walsum ภายในปี 2050 Thyssenkrupp Steel วางแผนที่จะค่อยๆ เปลี่ยนการผลิตเหล็กใน Duisburg ให้เป็นการลดปริมาณไฮโดรเจนโดยตรง

 

ด้วยผลิตภัณฑ์ Green Steel DEW ยังสนับสนุนลูกค้าในการลดการปล่อย CO2 ของห่วงโซ่คุณค่าทั้งหมดอย่างพิสูจน์ได้ ผู้ผลิตใช้เตาอาร์คไฟฟ้าสำหรับการผลิตเหล็กกล้าคาร์บอน สำหรับการผลิตเหล็กดิบสีเขียว (green crude steel) นั้นใช้ไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนเท่านั้น “ทันทีที่ไฮโดรเจนมีอยู่ในปริมาณที่เพียงพอ เราจะนำเสนอเหล็กที่เป็นกลาง CO2 ผ่านการใช้ไฮโดรเจน/ไฟฟ้าเพิ่มเติมแทนก๊าซธรรมชาติสำหรับขั้นตอนการปั๊มความร้อนและการบำบัดความร้อนของเรา” บริษัทลดการปล่อย CO2 จากการผลิตเหล็กจาก 429 kg/t เหล็กดิบ (เหล็กดิบเฉลี่ยทั่วโลก 1680 kg/t) เป็น 107 kg/t ผ่านการใช้ไฟฟ้าสีเขียว 

นอกเหนือจากนั้น DEW ยังกำหนดให้ซัพพลายเออร์ต้องแสดงหลักฐานแหล่งกำเนิดวัสดุ การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และการปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรม ซึ่งจะให้ความสำคัญกับบริษัทโลจิสติกส์ที่ใช้รูปแบบเครือข่ายการขนส่งที่ปรับให้เหมาะสมทางนิเวศวิทยาและยังให้หลักฐานของผลประโยชน์ทางนิเวศวิทยา ลูกค้าจะได้รับหลักฐานการมีส่วนสนับสนุนในการปกป้องสภาพอากาศตามระเบียบวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับก๊าซเรือนกระจก 

Arcelor Mittal ผู้ผลิตรายใหญ่อีกรายในอุตสาหกรรมเหล็กของยุโรปได้ประกาศว่าโรงงาน Sestao ในสเปนจะกลายเป็นโรงงานเหล็กกล้าปลอดคาร์บอนเต็มรูปแบบแห่งแรกของโลก การพัฒนาเป็นผลมาจากบันทึกความเข้าใจ (MOU) ที่ลงนามกับรัฐบาลสเปน ซึ่งจะเห็นการลงทุน 1 พันล้านยูโรในการก่อสร้างโรงงานไฮโดรเจนโดยตรงลดธาตุเหล็ก (DRI) ที่โรงงานในเมือง Gijón รวมทั้งโรงงานแห่งใหม่ เตาอาร์คไฟฟ้าไฮบริด (EAF) ภายในปี 2568 โรงงาน Sestao จะผลิตเหล็กกล้าปลอดคาร์บอน 1.6 ล้านตัน ศูนย์กลางของการพัฒนานี้คือ DRI ไฮโดรเจนสีเขียวหรือพลังงานสะอาด ขนาด 2.3 ล้านตันในเมือง Gijón และ DRI ประมาณ 1  ล้านตันจะถูกส่งไปยัง Sestao เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับ EAF สองแห่ง

 

นอกจากนี้ Arcelor Mittal กำลังพัฒนาโครงการใหม่ที่โรงงานใน Hamburg ประเทศเยอรมนี โดยมุ่งเป้าไปที่การผลิตในระดับอุตสาหกรรมและการใช้ Direct Reduced Iron (DRI) ที่สามารถผลิตจากไฮโดรเจน 100% เป็นสารรีดักเตอร์ โดยมีการผลิตเหล็กปีละ 100,000  ตัน 

กระบวนการลดแร่เหล็กด้วยไฮโดรเจน จะทดสอบโดยใช้ไฮโดรเจนสีเทาที่เกิดจากการแยกก๊าซ บริษัทมีเป้าหมายที่จะบรรลุการแยก H2 ด้วยความบริสุทธิ์มากกว่าร้อยละ 97 ของก๊าซเสียจากในโรงงานที่มีอยู่ โดยใช้กระบวนการที่เรียกว่า “การดูดซับแรงดันสวิง หรือ Pressure swing absorption ” ซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถพัฒนาโซลูชันทางเทคโนโลยีในระดับอุตสาหกรรมเพื่อลดแร่เหล็กด้วยไฮโดรเจนเพียงอย่างเดียวและไม่มีคาร์บอนมาเกี่ยวข้องใดๆ ในอนาคตโรงงานสามารถใช้พลังงานสะอาด (Green hydrogen) ได้เมื่อมีปริมาณเพียงพอและในราคาที่เหมาะสม โดยพลังงานสะอาดสำหรับการผลิตไฮโดรเจนอาจมาจากฟาร์มกังหันลมนอกชายฝั่งทางเหนือของประเทศเยอรมนี 

 เห็นได้ชัดว่า Green Hydrogen เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการผลิตเหล็กที่เป็นกลางต่อสภาพอากาศ หรือการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิให้เป็นศูนย์ ด้วยพลังงานสีเขียว (Green Energy) และการขยายตัวของเครือข่ายไฮโดรเจนในยุโรป (European hydrogen network) ทำให้โรงถลุงเหล็กสามารถกลายเป็นต้นแบบสำหรับการผลิตที่เป็นมิตรต่อสภาพอากาศ นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้ผลิตเครื่องมือและแม่พิมพ์สามารถจัดหาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและบรรลุเป็าหมายความต้องการของลูกค้ามในการลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ได้อีกเช่นกัน

อ้างอิง: https://www.etmm-online.com/green-steel-this-is-how-tool-and-mould-making-becomes-climate-neutral-a-1090401/

บทความที่เกี่ยวข้อง:

 

About The Author