Taking the F-35 fighting jet

เครื่องจักรที่ใช้ผลิตชิ้นส่วนเครื่องบินเจ็ทที่ทรงพลังที่สุดในโลก

กล่าวได้ว่าชั่วโมงนี้เครื่องบินที่มีเทคโนโลยีในการสอดแนม (Stealth) และบินด้วยความเร็วเหนือเสียง หรือ Supersonic คือเครื่องบินขับไล่สำหรับกองทัพที่มีความโดดเด่นและซับซ้อนที่สุดในโลก ทั้งหมดนี้รวมอยู่ใน F-35 Lightning รุ่นล่าสุดที่ผลิตโดย ยักษ์ใหญ่ด้านอากาศยาน Lockheed Martin จากสหรัฐอเมริกา

เป็นความจริงที่ว่า ต้องใช้นักบินเพียงคนเดียวในการฝึกซ้อมรบเครื่องบินเจ็ตมูลค่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ต้องใช้พันธมิตร Joint Strike Fighter (JSF) หลายพันคนในการสร้าง F-35 เพื่อสร้างความมั่นใจว่า นี่คือเครื่องบินขับไล่ที่ไร้เทียมทานที่สุดในปฐพี โดยโครงการสำคัญนี้ Starrag ได้เป็นหนึ่งในกลุ่มพันธมิตรดังกล่าว ด้วยการผลิตชิ้นส่วนพิเศษหลากหลายให้กับพันธมิตร JSF ทั้งจากเหล็ก อลูมิเนียม และไทเทเนียม

“หัวใจแทบจะหยุดเต้นเมื่อคุณเข้าร่วมการแสดงแสนยานุภาพอากาศยานหรืออยู่ที่สนามกีฬาเมื่อกองทัพสหรัฐฯทำการบินด้วย F-35” Alexander Attenberger ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายขาย (CSO) ของ Starrag กล่าว “เรารู้สึกภาคภูมิใจเมื่อทราบว่า Starrag จะมีบทบาทในโครงการ JSF ซึ่งมีแผนจะดำเนินการต่อไปอีก 50 ปี”

The F-35 Lightning II
The aircraft is projected to operate until 2070. (Source: Andy Wolfe)

เที่ยวบินแรกของ F-35 เปิดตัวในปี 2006  และการมีส่วนร่วมของ Starrag กับโครงการนี้ได้เริ่มขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 2000 เมื่อทีม F-35 ได้ทำงานร่วมกับลูกค้าในสหราชอาณาจักรเกี่ยวกับชิ้นส่วนไทเทเนียม ก่อนหน้านี้ Starrag ได้พัฒนาเครื่องจักร – tailored machines สำหรับการตัดเฉือนชิ้นส่วนสำหรับเครื่องบินลำอื่นสำหรับลูกค้ารายนี้และผู้ผลิตรายอื่นโดยเฉพาะ “ประสบการณ์มากมายในการตัดเฉือนไทเทเนียมของ Starrag นั้นมีทำให้มีศักยภาพในการแข่งขันได้สูงสุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องต้นทุนด้านเครื่องมือ ซึ่งเป็นต้นทุนตลอดอายุการใช้งานก้อนใหญ่ที่สุดของการตัดเฉือน” Dr Bernhard Bringmann กรรมการผู้จัดการของ Starrag กล่าว การทำงานร่วมกันและการพัฒนาเรื่อยมาได้พัฒนาไปสู่ BTP (Big Titanium Profiler) machining centre ของ Starrag ที่มีขนาดพาเลท 5,000 x 2,000 มม. รองรับการตัดเฉือนของสตริงเกอร์ ปัจจุบันมีเครื่องจักร  BTP 23 เครื่องอยู่ในโรงงานผลิตในสหราชอาณาจักรและออสเตรเลีย

ด้วยแกนหมุนคู่ 1,000 นิวตันเมตรและ tool magazine ที่มีพ็อคเก็ตมากกว่า 400 ชิ้น BTP 5000/2 สามารถผลิตชิ้นส่วนครีบหางไททาเนียมที่มีความกว้าง 700-800 มม. และหนาเพียง 50 มม. โดยมีค่าความคลาดเคลื่อนภายใน 30 µm และเพื่อให้ได้คุณภาพพื้นผิวสำเร็จที่ Ra 1.6 (สำหรับงานกัดห้าแกน) และ Ra 0.8 (สามแกน) ที่สามารถเกินเครื่องได้อย่างสม่ำเสมอด้วยโซลูชันแบบครบวงจรคุณภาพของ Starrag รวมถึงการสร้างฐานรากรองรับเครื่องจักร (machine foundation) ขนาดความลึก 2,000 มม. เพื่อความมั่นคงของเสถียรภาพในการทำงาน

แม้แต่เครื่องจักรเครื่องแรกสุดที่ติดตั้งก็ยังคงรักษาค่าความคลาดเคลื่อนเชิงปริมาตรที่ระบุไว้ได้จนถึงทุกวันนี้

เขากล่าวเสริมว่า “สำหรับระบบการผลิตที่ยืดหยุ่น (FMS) และเครื่องจักรทุกเครื่องที่เรามี เกิดจากการทำงานอย่างใกล้ชิดกับลูกค้าเพื่อจัดหาโซลูชันการตัดเฉือนที่สมบูรณ์แบบเพื่อให้ได้คุณภาพชิ้นงานที่ดีที่สุดและผลลัพธ์ที่คุ้มค่าที่สุด”

Droop+Rein FOGS overhead gantry-type six-axis machining centres
Droop+Rein FOGS overhead gantry-type six-axis machining centres are machining parts for the F-35.(Picture: Starrag)

One of a kind | หนึ่งเดียวในโลก

นอกจากนี้ Starrag ยังมี machining centers  หกแกนแบบ gantry-type เหนือศีรษะ Droop + Rein FOGS ที่ถูกนำไปใช้สำหรับงานใน JSF ไม่เพียงสำหรับการกัดละเอียดแม่พิมพ์ (dies) ด้วยความเร็วสูงเท่านั้น แต่ยังใช้สำหรับหัวกัด fork-type แบบคงที่ซึ่งมีแกนหมุน 300 Nm โดย Starrag ได้พัฒนาโมเดล FOGS ที่ปฏิวัติวงการอย่างต่อเนื่องเพื่อการตัดเฉือนชิ้นส่วนเหล็กและไททาเนียมให้กับ F-35 ได้อย่างทรงประสิทธิภาพโดยใช้หัวกัดที่หลากหลาย โดยมี Droop + Rein หกแกนเพียงหนึ่งเดียวในโลก

โครงการ JSF ยังทำให้เกิดแนวคิดที่ใช้งานได้อย่างประสบผลให้กับ Starrag ก็คือ การทดแทนกันได้ –  interchangeability ของชิ้นส่วนนั้นเกิดจากโปรแกรม JSF นี้ด้วยเช่นกัน การผลิตชิ้นส่วนจากทั่วโลกในโปรแกรม JSF ทั้งหมดต้องมีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดเกี่ยวกับความทนทานในระดับเข้มงวดมากเพื่อ interchangeability ในเครื่องบินไอพ่น

About the JSF program

กล่าวได้ว่า F-35 Lightning II เป็นเครื่องบินรบ multi-role แบบที่นั่งเดียวเครื่องยนต์เดียวของอเมริกาที่บินได้ในทุกสภาพอากาศ มันถูกผลิตขึ้นด้วยหลักการ 3 ข้อคือ บินขึ้น – ลงและลงจอดแบบปกติ F-35A, F-35B บินขึ้น-ลงและลงจอดในแนวดิ่ง และ F-35C บินขึ้น-ลงบนเรือบรรทุกเครื่องบินได้ อยู่ในตระกูล Lockheed Martin X-35 โดยมี Lockheed Martin เป็นผู้รับเหมารายใหญ่โดยมีพันธมิตรหลักคือ Northrup Grumman และ BAE Systems โดยสหรัฐอเมริกา (ลูกค้าหลักและผู้สนับสนุนทางการเงิน) มีแผนจะซื้อ F-35 จำนวน 2,456 ลำภายในปี 2044

อ้างอิง: https://www.etmm-online.com/taking-the-f-35-fighting-jet-to-incredible-heights-gal-962444/?p=1

บทความที่เกี่ยวข้อง: 

Machine Tool ใหญ่ที่สุดในออสเตรเลียโดย Starrag

Case Study | การใช้งานระบบการผลิตที่ยืดหยุ่น (FMS) อย่างประสบผล

About The Author